Coin กับ Token ต่างกันอย่างไร ในปัจจุบัน มีการออกเหรียญคริปโตฯ เป็นจำนวนมาก หากอ้างอิงจากเว็บไซต์ CoinMarketCap พบว่า มีจำนวนเหรียญคริปโตฯ ทั้งสิ้น 12,812 เหรียญ (ข้อมูลอ้างอิง ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2021) ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่มหาศาล อีกทั้งยังมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปรียบเทียบเหรียญแต่ละเหรียญต้องทำความเข้าใจพื้นฐาน และ ความแตกต่างของเหรียญแต่ละประเภทก่อน ซึ่งประเภทของเหรียญสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ Coin และ Token
Coin กับ Token ต่างกันอย่างไร
คำว่า “Coin” และ “Token” มักถูกใช้ปะปนกัน จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ทั้งสองคำเป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน แต่แท้จริงแล้ว ทั้ง Coin และ Token มีความหมายที่ต่างกันตามนิยามที่กำหนดไว้ในเรื่อง Blockchain ที่รันอยู่เบื้องหลังการทำงานของเหรียญนั้น ๆ และ ลักษณะการใช้งานของเหรียญ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
Coin คืออะไร?
Coin คือ เหรียญคริปโตฯ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า และ บริการต่าง ๆ หรือ แม้กระทั่งคริปโตฯ เหรียญอื่น โดยมีลักษณะเด่นที่สำคัญ คือ เหรียญคริปโตฯ ประเภทนี้พัฒนาขึ้นบน Blockchain ของตัวเอง หรือ มี Blockchain เป็นของตัวเองนั่นเอง ดังนั้น จึงทำให้นักขุดทำการขุดเหรียญนั้นได้ ไม่ว่ารูปแบบการขุดจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามรายละเอียด และ เงื่อนไขของเหรียญนั้น
ตัวอย่างเหรียญคริปโตฯ ที่มีลักษณะเป็น Coin
- Bitcoin (BTC) เป็นเหรียญที่สร้างขึ้นมาเพื่อในการแลกเปลี่ยนแบบ Peer-to-Peer โดยมีการทำงานของ Blockchain ในลักษณะ Proof-of-Work ซึ่งเครือข่ายของ Bitcoin จะรันอยู่บนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานทั่วโลกในเครือข่าย นักขุดจะต้องทำการถอดรหัสทางคณิตศาสตร์เพื่อยืนยันการทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนั้น เรายังสามารถนำ BTC เพื่อไปแลกเปลี่ยนเหรียญอื่นมาได้อีกด้วย และ หากสังเกตการรับชำระด้วยคริปโตฯ BTC มักเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่มีการรับชำระ
- Ether (ETH) เป็นเหรียญที่ใช้ในแพลตฟอร์มของ Ethereum มีลักษณะเป็นแพลตฟอร์มแบบ Open-Source กล่าวคือ นักพัฒนาสามารถนำชุดคำสั่งไปพัฒนาต่อยอดได้ โดยเป็นการสร้างบน Blockchain ของ Ethereum ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ Blockchain จาก Proof-of-Work เป็น Proof-of-Stake ซึ่งยังคงต้องติดตามรายละเอียดความคืบหน้าในเรื่องนี้ต่อไป
Token คืออะไร?
Token คือ เหรียญคริปโตฯ ที่ไม่ได้มี Blockchain เป็นของตัวเอง แต่จะเป็นการสร้างขึ้นบน Blockchain ของแพลตฟอร์มอื่น มักสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น อาจสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในระบบนิเวศหรือ Project บางอย่าง
ตัวอย่างเหรียญคริปโตฯ ที่มีลักษณะเป็น Token
- Token ที่สร้างบน Ethereum Blockchain มาตรฐานในนำมาเขียนชุดคำสั่งบน Blockchain ของ Ethereum มีด้วยกันหลากหลายมาตรฐาน ขึ้นอยู่กับความต้องการ และ ความเหมาะสมของสิ่งที่จะนำไปสร้าง แต่มาตรฐานที่นิยมนำมาใช้สร้างเหรียญมากที่สุดกัน ได้แก่ มาตรฐาน ERC-20 มีตัวอย่างของเหรียญมากมายที่นำมาใช้ เช่น Uniswap (UNI), ChainLink Token (LINK), Maker (MKR), Compound (COMP), ChiliZ (CHZ) และเหรียญอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งหากดูข้อมูลจาก Etherscan ล่าสุด ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2021 มีจำนวน Token ที่สร้างมาตรฐาน ERC-20 จำนวนทั้งสิ้น 458,689 เหรียญ
- Zipmex Token (ZMT) สร้างตามมาตรฐาน ERC-20 เช่นกัน เป็นเหรียญประจำแพลตฟอร์มของ Zipmex ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจในหลายประเทศ ทั้งไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย สำหรับ Use case ของเหรียญ ZMT ในปัจจุบันมีมากมายที่ทางแพลตฟอร์มอยู่ระหว่างดำเนินงาน เพื่อให้เป็นไปตาม Roadmap ที่วางเอาไว้ เช่น โปรแกรม Ziplock, ZipSpend และ ZipWorld นอกจากนั้น ยังได้เห็นการรับชำระด้วยเหรียญ ZMT จากผู้ให้บริการในหลายอุตสาหกรรม ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และบริษัทต่าง ๆ
กล่าวโดยสรุป เหรียญคริปโตฯ ในปัจจุบันมีจำนวนมาก สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่ 1 Coin เป็นเหรียญที่มี Blockchain ของตัวเอง ตัวอย่างเช่น Bitcoin (BTC), Ether (ETH) และกลุ่มที่ 2 Token เหรียญที่ไม่มี Blockchain ของตัวเอง ตัวอย่างเช่น Zipmex Token (ZMT), เหรียญที่สร้างขึ้นบน Ethereum Blockchain อย่างไรก็ตาม การแบ่งประเภทของเหรียญคริปโตฯ สามารถทำได้ด้วยมิติอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น แบ่งตามประโยชน์การใช้งานของเหรียญ
หน้าที่ของเหรียญ
ปัจจุบัน เหรียญ (Coin) มีวัตถุประสงค์คล้ายกับ เงินจากโลกจริง (Physical coin) ส่วนมากถูกใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่าง ๆ ขณะที่ราคาของเหรียญมักจะผันผวนตามความต้องการและปริมาณเหรียญในตลาด
เหรียญบางเหรียญ ยังสามารถนำมาจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมเครือข่าย (Gas fee) ที่ผู้ใช้ต้องจ่ายเพื่อใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ของเครือข่ายบล็อกเชน อาทิ จ่าย Ether (ETH) เพื่อสร้าง Smart contract บนเครือข่าย Ethereum เป็นต้น
หน้าที่ของโทเคน
โทเคนสามารถใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้เหมือนกับเหรียญ แต่จะมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตามที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น การมอบสิทธิ์เข้าถึงบริการของ DeFi หรือ โทเคนที่ผูกมูลค่ากับสินทรัพย์ประเภทอื่นเพื่อให้มีมูลค่าคงที่ (Stablecoin) เป็นต้น
สรุป Coin กับ Token
เหรียญ (Coin) ถูกสร้างขึ้นบนเครือข่ายบล็อกเชนของตัวเอง ขณะที่โทเคน (Token) ถูกสร้างบนเครือข่ายบล็อกเชนอื่น ๆ เช่น Ethereum ผ่านการเขียน Smart contract
ถัดมาที่วัตถุประสงค์ เหรียญ (Coin) สามารถนำมาใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่าง ๆ และเหรียญของบางเครือข่ายสามารถใช้จ่ายเป็น Gas Fee ขณะที่ โทเคน (Token) จะมีคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น สิทธิพิเศษในการเข้าถึงบริการ ลดค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย หรือจ่ายปันผลตามที่เงื่อนไขระบุ
ทั้ง เหรียญ และ โทเคนต่างมีข้อดีและการใช้งานที่แตกต่างกัน หากมีความเข้าใจในส่วนนี้ สามารถช่วยให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น และช่วยในการตัดสินใจลงทุน แต่แน่นอนว่าทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง เราควรศึกษาหาข้อมูลเชิงลึกก่อนการลงทุนอยู่เสมอ